พลวัต เหนือกว่าภาวะเศรษฐกิจ มีคำถามใหญ่ในอเมริกา ที่คนต้องการคำตอบอย่างมากยามนี้ว่า ธุรกิจอะไรบ้างที่ไม่ผันผวนและตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์เลวร้ายทางเศรษฐกิจ? และอาชีพอะไรที่จะได้รับประโยชน์อย่างมากจากสถานการณ์นี้? คำตอบออกมารวดเร็วเกินคาด และไม่ได้มีแค่คำตอบเดียว -ธุรกิจที่ไม่เคยผันผวนตามกระแสเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มจะเติบโตไปเรื่อยๆ คือธุรกิจบันเทิง -อาชีพที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากความผันผวนทางเศรษฐกิจและธุรกิจ คือ อาชีพนักกฎหมาย นักบัญชี และนักการตลาด คำตอบดังกล่าว น่าจะหมายความรวมถึงสังคมทุนนิยมอื่นๆในประเทศทั่วโลกรวมอยู่ด้วย ถึงไม่ใช่ทั้งหมด ก็น่าจะใกล้เคียงกัน คำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับคำตอบข้อแรกได้แก่ ธุรกิจบันเทิงนั้น เป็นธุรกิจที่มีไว้สำหรับหลบหนีออกจากความจริง ยิ่งโลกของความจริงเลวร้ายมากเท่าใด ความต้องการเสพสื่อบันเทิงที่สามารถหลบหนีไปชั่วคราวเพื่อช่วยปลดเปลื้องภาระหนักหนาสาหัสในชีวิตประจำวัน จึงกลายเป็นความจำเป็นมากยิ่งขึ้น ขอเพียงแค่สื่อบันเทิงเหล่านี้ ถอดรหัสความต้องการทางด้านจิตสำนึกเฉพาะหน้าของผู้คนร่วมสมัยได้ถ่องแท้เท่านั้น ก็มีโอกาสที่จะร่ำรวยได้ไม่ยาก กุญแจความสำเร็จของธุรกิจบันเทิง ก็เป็นเช่นเดียวกันกับศิลปะทุกสาขานั่นแหละคือ มีเป้าหมายเพื่อสร้างหลักประกันชั่วคราวสำหรับจิตใจที่ไขว่คว้าหาความสุข ซึ่งหาได้ยากจากชีวิตประจำวันในสังคมร่วมสมัยที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ว้าวุ่น สับสน และเต็มไปด้วยความเสี่ยงมากมาย เป็นธุรกิจที่พยายามยืนอยู่บนเส้นแบ่งที่รางเลือนของความขัดแย้งจากจิตใจของผู้คน และคนที่เสพสื่อบันเทิงส่วนใหญ่ก็รู้ดีว่า สวรรค์ชั่วคราว(ในรูปต่างๆตามพื้นฐานของบุคลิกภาพ)ในการเสพสื่อบันเทิงนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการโฆษณาชวนเชื่อที่สมยอมกันได้ของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค รูปแบบของสื่อบันเทิงนั้น มีความหลากหลาย แต่หากพิจารณาตามหลักสุนทรียะแล้ว จะมีเพียงแค่ 2 แนวทางเท่านั้น คือ ในยุคที่สังคมร่ำรวยและมีสุขสงบจนดูชีวิตเรียบง่ายเกินไป รูปแบบของสื่อบันเทิงที่คนแสวงหาคือ เนื้อหาในลักษณะสมจริง แต่ในยามที่สังคมผันผวนรุนแรง และเต็มไปด้วยความขัดแย้ง เนื้อสาสื่อที่คนต้องการเสพก็คือ เรื่องราวแฟนตาซีที่หลุดโลกทั้งหลายแหล่ ฮอลลีวูด และผู้ผลิตภาพยนตร์ทั่วโลก ต่างเข้าใจปมเงื่อนของความสำเร้จตรงนี้ได้อย่างดี และพวกเขาก็แสดงความมั่นใจว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะผันผวนมากน้อยเพียงใด ธุรกิจบันเทิงจะเติบโตไปตามปกติ ความสำเร็จและล้มเหลวของภาพยนตร์หรือสื่อบันเทิง ไม่ได้ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม หรือธุรกิจ แต่ขึ้นกับการถอดรหัสและตีความจิตสำนึกของผู้บริโภคว่า ต้องการอะไรในแต่ละช่วงเวลาได้เหมาะสมมากน้อยเพียงใดเป็นสำคัญ แดน กลีกแมน นายกสมาคมผู้ผลิตภาพยนตร์ของอเมริกา ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เขาไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อยว่า รายได้ของการขายตั๋วภาพยนตร์ทั่งอเมริกาและทั่วโลกจะหดหายไปจากปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้าอยู่ เพราะไม่ว่าอย่างไรเสีย การเสพสื่อบันเทิง ก็ยังมีต้นทุนในการเยียวยาจิตใจของผู้คนได้ต่ำกว่าการพบจิตแพทย์ หรือนักจิตบำบัดหลายเท่าอยู่ดี เหตุผลของเขา ฟังดูเข้าท่าดี เพราะมีสถิติรองรับชัดเจนว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยที่สุดของสหรัฐฯ 7 ครั้งในรอบ 100 ปีนี้ ปรากฏว่า ยอดรายได้ของภาพยนตร์และสื่อบันเทิงฮอลลีวูดเพิ่มขึ้น 7 ครั้ง ซึ่งในจำนวนนี้ รวมทั้งช่วงวิกฤตราคาน้ำมันครั้งแรก และ ช่วงฟองสบู่ดอทคอมแตกเมื่อหลายปีก่อน นอกจากนั้น ตัวเลขเฉลี่ยค่าตั๋วของโรงภาพยนตร์ในอเมริกาที่ระดับ 7 ดอลลาร์ เทียบกับตัวเลขเข้าชมเบสบอลเฉลี่ย 23 ดอลลาร์ และ 50 ดอลลาร์ของการแสดงดนตรี ก็ยังถือว่า อยู่ในเกณฑ์ที่ทำให้สื่อบันเทิงทั้งหลายเดินหน้าต่อไปได้ ข้อเท็จจริงนี้ ไม่ได้ปรากฏเฉพาะในอเมริกา เพราะที่อินเดีย ก็มีการค้นพบว่า โดยเฉลี่ยแล้ว คนอินเดียทุกคนไม่ว่ายากจนข้นแค้นเพียงใด จะต้องจ่ายเงินค่าเข้าชมภาพยนตร์ปีละอย่างน้อย 1 เรื่องเสมอ ทำให้ภาพยนตร์อินเดีย มีตัวเลขจำนวนเรื่องที่ผลิตมากกว่าฮอลลีวูดในแต่ละปี (ไม่นับภาพยนตร์ลามกที่ฮอลลีวูดผลิตได้มากกว่าตัวเลขภาพยนตร์ปกติประมาณ 5 เท่า) กลุ่มสตูดิโดยักษ์ใหญ่ของอเมริกาประเมินเอาไว้ว่า ภาพยนตร์ที่จะทำเงินเป็นบ้าเป็นหลังในปีนี้ จะต้องมีลักษณะเป็นภาพยนตร์แฟนตาซี ที่ทำให้คนหลบหนีจากโลกความเป็นจริงได้มากกว่าเดิม แต่คุณภาพการถ่ายทำจะต้องดีเยี่ยมด้วย โดยภาพยนตร์ที่เน้นหนักเป็นพิเศษคือ ภาพยนตร์ผจญภัย ตลก หรือ ต่อสู้ หรือการ์ตูนสำหรับครอบครัว และที่หนีไม่พ้นคือ ภาพยนตร์ตลกปนเซกซ์ ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายอารมณ์เครียดได้มาก หนึ่งในภาพยนตร์ที่คาดว่าจะทำเงินถล่มทลายอย่างมากในปีนี้คือ อินเดียน่า โจนส์ตอนใหม่ ที่กะกันว่า จะกลับมาทำให้คนลืมเรื่องซับไพรม์ หรือ การถอนทหารออกจากอีรัค หรือ การก่อการร้าย หรือ ราคาน้ำมัน หรือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีได้ชั่วขณะ นักวิเคราะห์หุ้นวอลล์สตรีท ต่างก็เห็นพ้องด้วยว่า หุ้นบันเทิง เป็นหุ้นที่น่าจับตามองมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในปีนี้ ส่วนคำอธิบายของอาชีพที่น่าสนใจนั้น เป็นเรื่องเข้าใจไม่ยาก เพราะในยามที่ธุรกิจผันผวน คนเหล่านี้ คือนักแก้ปัญหาความขัดแย้งและวุ่นวายในองค์กรได้มากกว่าคนกลุ่มอื่นๆเสมอ เป็นวงจรปกติธรรมดา จากคุณ : serious man - [ 27 มี.ค. 51 11:21:00 ] นำมาจากข่าวหุ้น | ||
วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551
ธุรกิจเซียนเหนือเซียน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
3 ความคิดเห็น:
แล้วธุรกิจการแพทย์ล่ะครับ
ธุรกิจที่กำไรลดลงในปีที่แล้วคือการแพทย์ เพราะกลุ่มนี้ไม่ได้หมายถึงแค่หาหมอเนื่องจากเจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดา แต่ยังหมายถึงการเสริมความงาม เวชสำอาง กลุ่มวิตามิน จัดฟัน อุปกรณ์ต่างๆ
ยิ่งเศรษฐกิจแย่ คนก็ยิ่งพึ่งพาสวัสดิการรักษาฟรีมากขึ้น ลดการเข้าปรึกษาหาหมอแบบฟุ่มเฟือย กินยาเท่าที่จำเป็น ยิ่งเมื่ออาหารแพงขึ้นๆ งบประมาณสำหรับวิตามินและสารพัดอาหารเสริมแพงๆก็ยิ่งลดลง
กำไรที่ลดลงของหุ้นกลุ่มนี้ เป็นของในอเมริกา ประเทศไทย หุ้นโรงพยาบาลถูกปั่นขึ้นไปจนเว่อร์มาก PE สูงกว่าหุ้นกลุ่มเดียวกันของชาวโลกเขา
ตอนนี้ก็เลยลงมา 30-30% ในขณะที่ SET ลงแค่ 10% ราคาดูแล้วไม่แพง แต่ p/bv ยังสูงมาก
แสดงความคิดเห็น